จุดใดบ้างที่ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิด ฐานก่อสร้างผิดแบบ

จุดใดบ้างที่ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิด ฐานก่อสร้างผิดแบบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2414/2535

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ควบคุมตามใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่นายกุหลาบ ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ทำการก่อสร้างอาคารเพื่อพาณิชยกรรมในซอยลาดหญ้า 2 ถนนลาดหญ้า และอยู่ภายในเขตควบคุมการก่อสร้างได้ร่วมกันจัดให้มีการก่อสร้างอาคารให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต กล่าวคือ ตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตให้สร้างตึกแถวสามชั้นจำนวน 6 ห้อง ได้สร้างจำนวน 7 ห้อง โดยสร้างเพิ่ม 1 ห้อง และตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตให้สร้างตึกแถวสามชั้นจำนวน 13 ห้องได้สร้างจำนวน 15 ห้อง โดยสร้างเพิ่ม 2 ห้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 2, 4, 31,65, 70 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 4, 5 พระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 ใช้บังคับ พ.ศ. 2520มาตรา 3

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 31, 65, 70 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 วางโทษปรับจำเลยทั้งสองคนละ 100,000 บาท จำเลยทั้งสองมีคุณความดีมาก่อน และทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับจำเลยทั้งสองคนละ 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2529 นายกุหลาบ ได้ขออนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชย์พักอาศัยต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยมีหนังสือแสดงความยินยอมเป็นผู้ควบคุมงานของจำเลยทั้งสองแนบไปด้วยปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.7 ต่อมาวันที่ 30 กันยายน 2529เจ้าพนักงานท้องถิ่นอนุญาตให้นายกุหลาบก่อสร้างอาคารได้โดยระบุว่ามีจำเลยทั้งสองเป็นผู้ควบคุมงานปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1หลังจากนั้นนายกุหลาบได้ก่อสร้างอาคารโดยจำเลยทั้งสองไม่เคยไปควบคุมการก่อสร้าง และนายกุหลาบได้ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต กล่าวคือ ตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร ตึกแถวสามชั้นจำนวน 6 ห้อง และ13 ห้อง ได้ก่อสร้างจำนวน 7 ห้อง และ 15 ห้อง ตามลำดับ มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประการแรกว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกระทำความผิดฐานให้มีการก่อสร้างอาคารให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตดังฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือแสดงความยินยอมเป็นผู้ควบคุมงาน จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องไปควบคุมการก่อสร้างอาคารให้เป็นไปตามแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต และเมื่อพิจารณาประกอบกับพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31วรรคหนึ่งที่บัญญัติว่า “ห้ามผู้ใดจัดให้มีการก่อสร้าง ดัดแปลงรื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารผิดไปจากแผนผังบริเวณแบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ฯลฯ” และวรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารเป็นการฝ่าฝืนความในวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการกระทำของผู้ควบคุมงาน เว้นแต่ผู้ควบคุมงานจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำของผู้อื่น” แล้ว เห็นว่าจำเลยทั้งสองซึ่งมีหน้าที่ต้องไปควบคุมการก่อสร้าง แต่ละเลยไม่ไปควบคุมการก่อสร้าง จนเป็นเหตุให้มีการก่อสร้างอาคารผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจะถือว่าการก่อสร้างอาคารที่ผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตดังกล่าว มิใช่เป็นการกระทำของจำเลยทั้งสองตามมาตรา 31 วรรคสองตอนท้ายไม่ได้ แต่ต้องถือว่าเป็นการกระทำของจำเลยทั้งสองตามมาตรา 31 วรรคสองตอนแรก คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกระทำความผิดฐานจัดให้มีการก่อสร้างอาคารให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจริงดังฟ้อง ฎีกาของจำเลยทั้งสองในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประการสุดท้ายว่าการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองตามที่วินิจฉัยแล้วข้างต้นเป็นการกระทำความผิดอันเกี่ยวกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรมดังฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า ตามหนังสือขอก่อสร้างอาคารเอกสารหมาย จ.5หนังสือแสดงความยินยอมเป็นผู้ควบคุมงานของจำเลยทั้งสองเอกสารหมาย จ.6 จ.7 และใบอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารเอกสารหมาย จ.1ระบุว่าเพื่อใช้เป็นอาคารพาณิชย์-พักอาศัย และอาคารที่เกิดเหตุเป็นตึกแถวสามชั้นซึ่งปกติใช้เพื่อการพาณิชยกรรมได้ ถือได้ว่าอาคารที่เกิดเหตุเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรม การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรมดังฟ้อง”

พิพากษายืน

สรุป

จำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือแสดงความยินยอมเป็นผู้ควบคุมงานตามใบอนุญาตก่อสร้างที่ ว. ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ทำการก่อสร้างอาคารเพื่อพาณิชยกรรม จึงมีหน้าที่ต้องไปควบคุมการก่อสร้าง แต่ละเลยไม่ไปควบคุมการก่อสร้างจนเป็นเหตุให้มีการก่อสร้างอาคารผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจะถือว่าการก่อสร้างอาคารที่ผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตดังกล่าว เป็นการกระทำของผู้อื่นมิใช่เป็นการกระทำของจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31วรรคสองตอนท้ายไม่ได้ แต่ต้องถือว่าเป็นการกระทำของจำเลยทั้งสองตามมาตรา 31 วรรคสองตอนแรก จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกระทำความผิดฐานจัดให้มีการก่อสร้างอาคารให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ตามหนังสือขอก่อสร้างอาคาร หนังสือแสดงความยินยอมเป็นผู้ควบคุมงานของจำเลยทั้งสองและใบอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารระบุว่าเพื่อใช้เป็นอาคารพาณิชย์-พักอาศัย และอาคารที่เกิดเหตุเป็นตึกแถวสามชั้นซึ่งปกติใช้เพื่อการพาณิชยกรรมได้ ถือได้ว่าอาคารที่เกิดเหตุเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรม การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรม.