บ้านไม่เสร็จ สั่งจ่ายเช็คค่าก่อสร้าง ผิดเช็คเด้งหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้เถียงกันรับฟังได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างใช้ชื่อร้านว่า ร. เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2560 จำเลยออกเช็คธนาคารสองฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 25 มิถุนายน 2560 จำนวนเงิน 300,000 บาท ฉบับที่สองลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 จำนวนเงิน 300,000 บาท มอบให้แก่นายอัครวัฒน์หรือช่างโดม เพื่อว่าจ้างให้นายอัครวัฒน์ก่อสร้างบ้านในเฟสที่ 2 แล้วนายอัครวัฒน์นำเช็คสองฉบับดังกล่าวไปมอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระค่าวัสดุก่อสร้างที่นายอัครวัฒน์ซื้อไปจากโจทก์ โดยนายอัครวัฒน์นำวัสดุที่ซื้อไปใช้ในการก่อสร้างหลายแห่งรวมทั้งโครงการ A. ของจำเลยด้วย เมื่อเช็คดังกล่าว ถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยเบิกความว่า จำเลยไม่รู้จักโจทก์ แต่จำเลยเคยโทรศัพท์ติดต่อโจทก์ว่าจะชำระเงินให้แก่โจทก์ หากชำระไม่ได้จะนำที่ดินมาวางชำระหนี้ให้ ซึ่งนายอัครวัฒน์ถูกโจทก์ฟ้องในคดีแพ่งเป็นจำเลยที่ 1 และจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ซึ่งคำเบิกความของนายอัครวัฒน์ขัดแย้งกับคำเบิกความของจำเลย คำเบิกความของจำเลยและนายอัครวัฒน์จึงมีข้อพิรุธ ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับที่จำเลยออกให้แก่นายอัครวัฒน์เป็นการออกเช็คชำระค่าก่อสร้างในโครงการของจำเลยที่ค้างชำระอยู่ มิใช่มอบให้แก่นายอัครวัฒน์เพื่อชำระหนี้ค่าก่อสร้างล่วงหน้าในเฟสที่ 2 นั้น ในส่วนนี้โจทก์และจำเลยอ้างนายอัครวัฒน์เป็นพยานร่วมกันเบิกความว่า พยานรับจ้างจำเลยก่อสร้างบ้านโครงการ อ. เฟสที่ 2 แต่จำเลยจะเดินทางไปต่างประเทศ จึงมอบเช็คพิพาททั้งสองฉบับ ให้พยานเพื่อจะให้พยานสร้างบ้านในเฟสที่ 2 ต่อมาโครงการมีปัญหาไม่สามารถสร้างบ้านเฟสที่ 2 ได้ และยังไม่มีการลงลายมือชื่อทำสัญญาจ้างก่อสร้างบ้านในเฟสที่ 2 เห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย อันเป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิด แต่ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าวปรากฏว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่นายอัครวัฒน์ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้นายอัครวัฒน์ทำการก่อสร้างบ้านในเฟสที่ 2 โดยหนี้ค่าการก่อสร้างยังไม่เกิดขึ้นขณะที่มีการออกเช็ค และต่อมาจำเลยได้เลิกสัญญาการก่อสร้างบ้านในเฟสที่ 2 โดยไม่มีการก่อสร้างบ้านในเฟสที่ 2 ย่อมไม่มีมูลหนี้ตามเช็คทั้งสองฉบับนั่นเอง ส่วนที่จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าเคยติดต่อจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องรับผิดในทางแพ่ง คำเบิกความดังกล่าวของจำเลย จึงมิได้ขัดแย้งกับคำเบิกความของนายอัครวัฒน์จนทำให้คำเบิกความของนายอัครวัฒน์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับ จำเลยออกให้โดยมิใช่เป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การออกเช็คของจำเลยจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามฟ้อง จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
สรุป
ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย อันเป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิด แต่จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่ อ. ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ อ. ทำการก่อสร้างบ้านในเฟสที่ 2 แล้ว อ. นำเช็คสองฉบับดังกล่าวมอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระค่าวัสดุก่อสร้างที่ อ. ซื้อไปจากโจทก์ โดยหนี้ค่าก่อสร้างยังไม่เกิดขึ้นขณะที่มีการออกเช็ค เมื่อต่อมาจำเลยได้เลิกสัญญาการก่อสร้างบ้านในเฟสที่ 2 โดยไม่มีการก่อสร้างบ้านในเฟสที่ 2 ย่อมไม่มีมูลหนี้ตามเช็คทั้งสองฉบับ จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับโดยมิใช่เป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิด จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4